
Greenwashing ป่าเขียว




ข้อมูล
สถิติย้อนหลัง

แท้จริงแล้ว
ผลสืบเนื่องจาก
ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ได้สร้างวิกฤติใหญ่เป็นปัญหากระทบไปทั่วโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนไปใช้คำว่า "โลกเดือด" หรือ "ภาวะโลกเดือด" (Global Boiling) เพื่อเรียกสภาวะที่โลกร้อนขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว กว่าเดิม ซึ่ง สาเหตุสำคัญคือการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 24 ของโลก จากดัชนี CCPI 2025
ทีมอาสาสมัครจากชมรมเครือข่ายนักสื่อสารข้อมูลเชิงลึกแห่งประเทศไทย Thailand Data Journalism Network (TDJ) หรือ “ทีดีเจ” ได้นำข้อมูลตัวเลขจาก โอเพ่นดาต้า (open data) ของหลายหน่วยงานมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อสรุปข้อมูลและภาพรวมของปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตของบริษัทขนาดใหญ่ในไทย เพื่อนำไปสู่การช่วยกันหาทางออกที่เหมาะสม และเป็นรูปธรรม
แต่กลับพบว่ามีความไม่โปร่งใสในการเปิดเผยชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยและการลด ก๊าซเรือนกระจกในหลายพื้นที่ และหลายประเภทซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤติใหญ่ในอนาคตทำให้คนไทยต้องเสี่ยงต่อผลกระทบโลกร้อนมากกว่าเดิมได้ ทั้งจากภัยพิบัติสภาพภูมิอากาศแปรปรวน (Climate change) จากบทลงโทษทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อภาคการเกษตร ฯลฯ

บทสัมภาษณ์
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์
"ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของโลก แต่ยังได้รับผลกระทบ....อุณหภูมิสูงขึ้น 4-5 องศา ความชื้นเพิ่ม 30% ทำให้ฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน เช่น จังหวัดน่านถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบกว่า 1,000 ปี...."
คาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้....ปลูกป่า “ชดเชย” ดูดซับคาร์บอนดีที่สุด
กลไกฟอกเขียว (Greenwashing) ต้นไม้บังปล่องควันคาร์บอน
ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว หรือ
..ป่าคาร์บอน
คือวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะสามารถดูดซับและเก็บกักคาร์บอนได้ออกไซด์ได้ราว 0.95 ตันต่อไร่ต่อปี ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ พื้นที่ปลูก และการดูแล เป็น 1 ใน 7 วิธีการลดก๊าซเรือนกระจกตามแนวทางของโครงการ T-VER โดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน พลังงานทดแทน การจัดการของเสีย ฯลฯ

เปิดข้อมูลคาร์บอนเครดิตป่าไม้ อบก. ราคาพุ่ง
แรงแตะ 3,000 บาทต่อหน่วย
ฐานข้อมูลล่าสุดของ อบก. ปี 2568 พบว่า มีโครงการที่ได้ รับการขึ้นทะเบียนรับรองทั้งหมด 500 โครงการ โดยในจำนวนนี้เป็นโครงการในภาคป่าไม้เพียง 110 โครงการ หรือคิดเป็น สัดส่วนเพียง 22% ของทั้งหมด แม้จะมีจำนวนน้อยแต่โครงการประเภทนี้กลับถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีราคาสูงที่สุด เมื่อเทียบกับคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมประเภทอื่น
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นหน่วยงานหลักของรัฐในการขับ เคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ระบุว่า “คาร์บอนเครดิตป่าไม้” คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดหรือกักเก็บได้จากกิจกรรมการปลูกป่า ฟื้นฟูป่า หรืออนุรักษ์ป่า โดยดำเนินการภายใต้กรอบของโครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ซึ่งต้องผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการจาก อบก.
โครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้มีกรอบเวลาดำเนินงานยาวนานถึง 15 ปี โดยผู้พัฒนาต้องรับหน้าที่พลิกฟื้นพื้นที่รกร้างหรือป่าเสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ผ่านการปลูก บำรุงรักษา และอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากสถิติคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของประเทศไทย ประจำปี 2568 ชี้ว่า ราคาซื้อขายผ่านช่องทาง “ทวิภาคี” หรือการเจรจาโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มี ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 306.59 บาท ต่อ tCO2eq ขณะที่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 55 บาท และสูงสุดพุ่งถึง 3,000 บาทต่อ tCO2eq ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนของตลาด และมูลค่าที่สูงของโครงการในภาคป่าไม้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเภทอื่นที่ใช้กลไกเทคโนโลยีแทนธรรมชาติ

บทสัมภาษณ์
สนธิ คชรัตน์
“เรากำลังใช้ต้นไม้บังปล่องควัน กลไกคาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือ “การค้า” ปลูกป่าแค่ “ชดเชย” ไม่ได้ลดโลกร้อนจริง”
ประเทศไทยตั้งเป้าไว้สูงถึง 120 ล้านตัน CO₂ ต่อปี ที่จะต้องดูดซับจากภาคป่าไม้เพื่อให้บรรลุ Carbon Neutrality แต่จากข้อมูลล่าสุด กลับพบว่าป่าไม้ไทยสามารถดูดซับ CO₂ ได้จริงเพียง 29 ล้านตันต่อปี เท่านั้น ช่องว่าง...กว่า 90 ล้านตันนี้ไม่ได้สะท้อนแค่ความท้าทายของระบบการดูดซับคาร์บอนจาก ธรรมชาติ แต่กำลังชี้ให้เห็นว่า เป้าหมายของประเทศอาจกลายเป็น “ภาพฝัน” ...
“ทุนใหญ่”

คนไทย
รู้ไหมว่า ?
บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เพียง 63 บริษัท ในปี 2567 และ ปี 2568 (30 เมษายน)
เพียง 245 บริษัท จากทั้งหมด 922 บริษัทที่ยอมเปิดข้อมูลปล่อยก๊าซเรือนกระจก
บริษัทยักษ์ .... ใช้วิธีไหนลด + ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นายทุนใหญ่ ... ลับ ลวง พราง ข้อมูลซื้อขาย”คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) อย่างไร
ไทยแลนด์... กำลังโดนเก็บ “ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน” ฉบับแรกของโลกจากอียู (CBAM)
นายทุน รู้หรือไม่......“คาร์บอนเครดิตไทย “ ไม่ผ่านเกณฑ์ EU บทเรียนราคาแพง ต้นทุนจมดิ่ง
ป่าไม้กลายเป็นกลไก
เครื่องมือฟอกเขียว
คาร์บอนเครดิตขององค์กรหรือบริษัทบางแห่งโดยเฉพาะ การใช้ "ป่าสงวนฯ “ป่าชุมชน” ซึ่งเป็นทรัพยากรส่วนรวมของ ประเทศมาใช้ทำโครงการคาร์บอนเครดิตโดยภาคเอกชนและ จัดสรรการแบ่งปันผลประโยชน์แบบเอารัดเอาเปรียบข้อมูลพื้นที่ป่า กรมป่าไม้ แสดงพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยในระยะ 10 ปี (2556-2566) พบว่าลดลงไป 301,383.78 ไร่
หากนำมาวิเคราะห์จากข้อมูลโครงการคาร์บอนเครดิต ภาคป่า ไม้ทั้ง 110 โครงการ มีถึง 32 โครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ ป่าสงวนฯฯและป่าชุมชน ซึ่งเริ่มดำเนินการระหว่างปี 2556-2557
ซึ่งกลายเป็นประเด็น ที่ถูกจับตามองว่าระบบคาร์บอนเครดิตกำลังเปิดช่องให้กลุ่มบริษัทและนายทุนใหญ่เข้าถึงสิทธิ การใช้ พื้นที่ป่า ซึ่งโดยหลักการแล้วควรอยู่ภายใต้ระบบการ จัดการที่เป็นธรรม โปร่งใสและยึดประโยชน์ของสาธารณะเป็นที่ตั้ง
เมื่อนำมาเปรียบเทียบข้อมูลของบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส
โครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้
110 โครงการ พบว่า




ตำแหน่งโครงการภาคป่าไม้
* ทางทีมได้ใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI) ในการช่วยอ่านข้อมูลโครงการจากไฟล์ PDF อาจจะมีข้อมูลบางส่วนคลาดเคลื่อนได้
CBAM เขย่าอุตสาหกรรมไทย...
เมื่อ"คาร์บอน"กลายเป็นต้นทุนใหม่ของเศรษฐกิจโลก
ไทยรับมือหรือแค่ซื้อสิทธิปล่อยก๊าซ?
การบังคับใช้มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2566 กลายเป็นแรงกระเพื่อมใหญ่ต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก ซีเมนต์ ปุ๋ย อะลูมิเนียม ไฮโดรเจน และอาหาร ที่ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสูงขึ้น
หากไม่สามารถรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามมาตรฐานที่ยุโรปกำหนด มาตรการ CBAM มีเป้าหมายชัดเจนในการป้องกัน “การรั่วไหลของคาร์บอน” จากการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ไม่มีนโยบายสิ่งแวดล้อมเข้มงวดเท่าภายใน EU โดยการคำนวณภาษีจะอิงจากข้อมูลการปล่อยคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment: LCA)
“คาร์บอนเครดิตไทย”
ไม่ผ่านเกณฑ์ EU บทเรียนราคาแพงของนายทุน
“ทีมอาสาสมัครทีดีเจ” สัมภาษณ์แหล่งข่าวในแวดวงคาร์บอนเครดิต พบปัญหาเรื่องการนำ คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของไทยไปใช้ในตลาดสากล โดยบริษัทไทยที่ซื้อมาเก็บไว้ ไม่สามารถ นำไปใช้กับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของยุโรปได้ บริษัทหลายแห่งได้รับ ความเสียหายจากการซื้อมาแล้วใช้ชดเชยไม่ได้จริง
และยังมีความท้าทายจากมาตรฐานที่หลากหลายและมีหลายหน่วยงานที่ใช้ เกณฑ์การรายงานที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความซับซ้อนในการจัดทำข้อมูลหวังว่าในอนาคต มาตรฐานเหล่านี้จะมีความสอดคล้องกันมากขึ้นและลดความเข้าใจผิดในตลาดคาร์บอนเครดิตภาค สมัครใจ เพราะบางประเภทไม่สามารถนำไปหักล้างในตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ เช่น EU CBAM ของสหภาพยุโรปได้
- พื้นที่ป่าไม้ไทย 10 ปี ลด 3 แสนไร่
- พื้นที่สีเขียวในเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ต้องเพิ่มขึ้นเป็น 55%
- คาร์บอนเครดิต ไม่ได้เพิ่มพื้นที่ป่าเขียว
- ผลประโยชน์ 70:20:10 เอกชนได้ 70% (ป่าชุมชนและป่าชายเลน)
- ผลประโยชน์ 90:10 เอกชนได้ 90% (ป่าสงวนฯ)

บทสัมภาษณ์
สนธิ คชรัตน์
5 ปมปัญหา ลับลวงพราง “ฟอกเขียวทางลัด” ปลูกป่าแค่ “ชดเชย”
ไม่ได้ลดโลกร้อนจริงชาวบ้านเป็นแค่ “แรงงานเงา” ไม่มีสิทธิ์มีเสียง
...แต่ที่สหรัฐอเมริการัฐบาลจ้างชาวบ้านปลูกป่าและเป็นเจ้าของเครดิต
1. ป่าดูดซับคาร์บอนโมเดลที่อิงความเชื่อมากกว่าข้อมูล
2. ปัญหาการไล่ที่ เมื่อการปลูกป่ากลายเป็นข้อพิพาทในชุมชน
3. แบ่งผลประโยชน์ไม่เท่าเทียม ปลูกแทบตาย ได้แค่น้ำใจ
4. ฟอกเขียวทางลัด
5. ต่างประเทศเลือกคนไทยเลือกทุน ...
บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย...
ใช้วิธีไหนลด + ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทีมอาสาสมัครทีดีเจ ได้ติดต่อเพื่อสัมภาษณ์บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยแบ่งตามหลักการคำนวณ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ขององค์กร ที่แบ่งเป็น 3 ขอบเขต หรือ 3 Scope) ซึ่งอธิบายสั้น ๆ ได้ ดังนี้ Scope 1 การปล่อยตรงจากองค์กร, Scope 2 การปล่อยทางอ้อมจากพลังงานที่ซื้อ และ Scope 3 การปล่อยทางอ้อมในกิจกรรมขององค์กร เช่น เริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงขั้นตอนส่งมอบสินค้า
โดยมีการติดต่อขอข้อมูลโดยตรงไปยังผู้บริหาร 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และ 4. บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) 5. กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เบื้องต้นมี 2 บริษัทให้ข้อมูลและความคืบหน้าในการจัดการก๊าซเรือนกระจก ดังนี้
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมปี 2567 และ 2568 อยู่ที่ 17.19 และ 19.49 ล้านตัน CO₂e ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และ Net Zero ปี 2593 บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน กล่าวถึงการปล่อยก๊าซในปี 2567 และ 2568 ของบริษัทอยู่ที่ 18,610 และ 21,856 ตัน CO₂e โดยได้บรรลุ Carbon Neutrality สำหรับ Scope 1 และ 2 ตั้งแต่ปี 2564 และอยู่ระหว่างบริหารจัดการ Scope 3 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2583-2593
สับสน “ข้อมูลป่าเขียวไทย”
ตัวเลขต่างกัน 1 เท่า

แหล่งอ้างอิงข้อมูล : กรมป่าไม้ กับ GISTDA
ปัญหาความคลาดเคลื่อนของข้อมูล พื้นที่ป่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบการประเมินเครดิต โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าฐานข้อมูลจาก กรมป่าไม้ ที่ใช้ในกระบวนการออกเครดิตไม่สอดคล้องกับภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ซึ่งเกิดจากการนิยามและอ้างอิงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ป่าที่แตกต่างกัน ในขณะที่ประเทศไทยประกาศนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียวและป่าไม้ตามยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมาย Net Zero แต่ข้อเท็จจริงเบื้องหลังกลับสะท้อนถึงความไม่ชัดเจนของ “ข้อมูลกลาง” ซึ่งเป็นฐานในการกำหนดนโยบาย และวัดผลความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ
หากดูในระดับจังหวัด ความแตกต่างยิ่งชัดเจน ความขัดแย้งของชุดข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึง “ปัญหามาตรฐานกลาง” ที่ยังไม่ชัดเจน ทั้งในด้านนิยามของพื้นที่ป่าและวิธีการประเมินศักยภาพในการดูดซับคาร์บอน ซึ่งนำไปสู่ข้อเรียกร้องจากภาควิชาการให้มีการปฏิรูปกลไกเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อจัดทำมาตรฐานกลางที่ตรวจสอบได้ และเพื่อให้ทุกนโยบายที่ต้องอ้างอิงข้อมูลป่าไม้ของไทยนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง
ใครได้ผลประโยชน์ ?

70%
20%
10%
90%
10%
แหล่งอ้างอิงข้อมูล : ระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตจากการปลูก บำรุง อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าในพื้นที่ป่าไม้ พ.ศ. 2567
ป่าไม้กลายเป็นกลไกหรือเครื่องมือฟอกเขียวคาร์บอนเครดิตขององค์กรหรือบริษัทบางแห่ง โดยเฉพาะการใช้ “ป่าสงวนฯ” “ป่าชุมชน” “ป่าชายเลน” ซึ่งเป็นทรัพยากรส่วนรวมของประเทศมาใช้ทำโครงการคาร์บอนเครดิต โดยภาคเอกชน และ การจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์แบบไม่เป็นธรรม
ใครกันที่ได้รับ


คาร์บอนเครดิตไม่ถึงมือชุมชน! ค่าตรวจพุ่ง นายทุนฟัน 80% ชาวบ้านขาดทุนตั้งแต่เริ่มกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดสุรินทร์
ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนต่อต้านโครงการคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยโดยมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือของทุนใหญ่ในการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing)...

ป่าสงวนฯ “คำป่าหลาย” มุกดาหาร รุกป่าชุมชน 600 ไร่อ้างทำกังหันลม... กว้านซื้อที่ดินทำ คาร์บอนเครดิตกลุ่มทุนอ้าง “โครงการสีเขียว” ขับไล่ชาวบ้าน
บทสัมภาษณ์นี้กล่าวถึง บทบาทของ NGO ในการต่อสู้กับโครงการของรัฐและเอกชน ในจังหวัดมุกดาหารและพื้นที่ใกล้เคียง ที่มักอ้างอิงนโยบาย คาร์บอนเครดิต...

บทสัมภาษณ์
ดร.พงษ์ชัย
ดำรงโรจน์วัฒนา
“กับดักแห่งความเหลื่อมล้ำ”
โครงสร้างนี้ ออกแบบมาให้ทุนใหญ่ได้เปรียบ ถือครองโครงการแทบทั้งหมด
ค่าตรวจประเมินโครงการคาร์บอนเครดิตในภาคป่าไม้ มีต้นทุนสูงถึงหลักแสนบาท หรือเฉลี่ยไร่ละหมื่นบาท ตัวเลขที่แม้จะดูเล็กน้อยในสายตาบริษัทใหญ่ แต่กลับกลายเป็น กำแพงทางการเงิน สำหรับชาวบ้านและกลุ่มอนุรักษ์เล็กๆ ช่องว่างเชิงโครงสร้างนี้ เปิดทางให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้าไปถือครองโครงการแทบทั้งหมด ขณะที่ “คนปลูกป่าจริง” ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่และดูแลทรัพยากรในระยะยาว กลับได้ประโยชน์ในสัดส่วนที่น้อยกว่าเอกชนที่เป็นเจ้าของโครงการ ...

ไทยต้องมี “กฎหมายลดโลกร้อน”
วาระด่วนแห่งชาติ



จากการทำรายงานข่าวด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้
สรุปได้ว่าคนไทยควรช่วยกันผลักดันนโยบายของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
- องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเปิดเผยและรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ การลดก๊าซเรือนกระจกประจำปี เพื่อสร้าง open Data ระดับชาติ
- บังคับให้ “ลด + ชดเชย”ปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ไม่ใช่ สมัครใจ เหมือนปัจจุบัน
- คนไทยออกมาเร่งรัด ไทยแลนด์มี “กฎหมายลดโลกร้อน” มีสาระสำคัญ ดังนี้
- 3.1 จัดเก็บภาษี + หย่อนภาษี องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก๊าซเรือนกระจก
- 3.2 ต้องมีบทลงโทษทางแพ่งและทางอาญา
- 3.3 ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
ประเทศไทยสามารถตอบสนองเป้าหมาย Net Zero
ได้อย่างมีคุณภาพถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องมือ... จากการฟอกเขียวเป็นการลดจริง
“คาร์บอนเครดิตจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อมันช่วยลดคาร์บอนได้จริง และสร้างความยุติธรรมได้จริง” เพราะการรักษ์โลกไม่ควรเป็นสิทธิพิเศษของกลุ่มทุนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ… ไม่ควรเป็นภาระของชาวบ้านเพียงลำพังเราขอเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ร่วมกันตอนนี้ ไม่ใช่วันพรุ่งนี้….

แหล่งอ้างอิงข้อมูล
ขอขอบคุณข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ เพื่อให้เรานำข้อมูลมาวิเคราะห์
Contributed
Content & Data
Chanita Ngammuan
Developer
Alif Ruksaithong
Designer
Boonyavee Thanabumrung



